มันจะมีอยู่เกาะๆนึงอะ ที่รู้จักมานานแล้ว รู้ว่ามันสวย รู้ว่ามันดี แต่อยากเก็บไว้ไปทีหลัง เก็บเอาไว้ไปในวันพิเศษ กับคนที่พิเศษ จนแล้วจนเล่า ก็ไม่ได้ไปซักที เราว่าง เขาไม่ว่าง เขาว่าง เราไม่ว่าง แต่พอเขาว่าง เราไม่ว่าง เขาก็ไปเว้ย!!!! เห้ย!! อะไรวะ รอตั้งนาน รอมาหลายปี ชิ่งไปก่อนเฉยเลย (แต่ก็ห้ามไม่ได้แหละ เขาไปกับแม่ เฮอๆ)
เกาะที่ว่าคือ เกาะหลีเป๊ะ..
.
หนึ่งปีผ่านไป
.
ตัดภาพมาที่ ตอนนี้กำลังนั่งเรือข้ามไปเกาะหลีเป๊ะ
.
….คนเดียว….
เนื่องจากเรามาคนเดียว ก็เลยจองทริปกับทัวร์เพื่อความสบายใจ และมั่นใจว่าจะมีคนดูแลหากเกิดอะไรขึ้นมา Sealection ทัวร์ ได้รับสิทธิ์นั้นค่ะ ดูแลฉันที ดูแลหัวใจดวงนี้ได้ม๊ายยยย 555 คือนอกจากเค้าจะจัดการทั้งเรื่องที่พัก เรื่องเรือ เรื่องรถรับส่งให้แล้ว ยังเป็นไกด์ประจำในระหว่างเราอยู่บนเกาะด้วย
แพ็คเกตที่เราจะได้คือ
1.เรือไปกลับ หลีเป๊ะ – ท่าเรือปากบารา
2.รถตู้รับส่งจาก ท่าเรือ-สนามบิน หรือเมืองหาดใหญ่
3.ห้องพัก “สิตาบีช รีสอร์ท” 2 คืน 3 วัน
4.ทริปดำน้ำรอบเกาะ
สามารถดูราคา แพคเกต โรงแรมที่ชอบ จำนวนวันที่จะไป ได้ที่นี่ค่ะ
มีโปรโมชั่นเรื่อยๆเลย ก็ต้องลุ้นว่าจะมีโรงแรมที่เราเล็งไว้ในโปรโมชั่นด้วยรึปล่าว
โทร 061-9428899
Line Officail : @sealection
Instagram : sealection
https://www.facebook.com/sealection/
http://www.sealectiontravel.com/
เนื่องจาก package เราคือ 3 วัน 2 คืน ที่จองมาก่อนหน้าแล้ว แต่คิดว่ามันไม่น่าพอ เลยจองโรงแรมเองเพิ่มไปอีก 1 วัน แล้วนัดแนะกับทาง Sealection ว่าจะเลื่อนตั๋วเรือไปก่อนทริปหนึ่งวัน ซึ่งเค้าก็โอเค และยังจัดไกด์มารับจากท่าเรือไปโรงแรมด้วย
ระหว่างทางไปเกาะหลีเป๊ะ เรือจะจอดแวะ 2 จุดคือ เกาะตะรุเตา และเกาะไข่ เกาะตะรุเตาเนี้ยก็เป็นอีกเกาะที่สามารถมาพักได้เหมือนกัน ในแบบ camping เป็นเกาะที่ใหญ่มากกๆๆ มีหาดสวยๆเยอะ แต่คือก็ต้องเทรกกิ้ง เดินผ่าปีนเขากันไป ถ้าเรามีเวลา ว่าจะหาโอกาสมาแคมปปิ้งที่นี่อยู่เหมือนกัน เพื่อนฝรั่งมาอยู่เป็นอาทิตย์เลย ฮ่าๆ
ส่วนเกาะไข่ เป็นเกาะที่มีหินรูปร่างประหลาด คือมันมีรู ที่สามารถลอดได้ด้วย ในช่วงน้ำลง ซึ่งเค้าเชื่อกันว่า หากได้ลอดรูนี้กับคนรักแล้ว จะรักกันไปชั่วนิรันดร์
ไอ่เราก็มาคนเดียวไงคะ จะลอดคนเดียวก็กลัวจะได้อยู่คนเดียวไปชั่วนิรันดร์ แต่ทำไงได้ ใจมันอยากจะไปดูอีกฝั่งนึงของอุโมงนั้น เลยกลั้นใจลอดไป พร้อมอธิฐานในใจ ขอให้มันเป็นตำนานลอดรูรัก ที่ไม่ต้องมีผลสำหรับเราขนาดนั้นก็ได้ค่ะ 555
มาถึงเกาะหลีเป๊ะ ภาพที่เห็นตรงหน้าคือทะเลที่ใครๆก็บอกว่าใสมากที่สุด น้ำใสมากกก จนเห็นปะการังข้างล่างเลย อยากจะกรี๊ดด อยากจะหันไปบอกแฟนว่า
“นี่มันเป็นทริปฮันนิมูลที่แสนเพอเฟค ฟ้าใส น้ำสวย อากาศเป็นใจอะไรอย่างนี้นะที่รัก”
แต่เฮ้อ… มีแต่เด็กเรือยังหันมายิ้มเยาะ พร้อมชูนิ้วโป้งให้กำลังใจ บอกว่า สู้สู้นะยูวว เทีย่วคนเดียวมันไม่ตายหรอกเห้ยยย
หลังจากลงเรือปุ๊ป พี่ณรงค์ ไกด์จาก Sealection วิ่งมาหาพร้อมแบกกระเป๋าให้ พาขึ้นมอไซด์ไปส่งโรงแรมที่เราจองมาเองคืนแรก
ก็ยังดีนะ ยังมีคนดูแลอยู่บ้าง
สิ่งที่ควรรู้ก่อนมาเกาะหลีเป๊ะ ง่ายๆคือ
1.มันจะมีหาดเด่นๆอยู่ 2 หาดคือ หาดพัทยา และหาดซันไรส์ หาดพัทยาจะมีโรงแรมหรูเยอะ ที่เป็นท่าขึ้นลงเรือ ส่วนหาดซันไรส์ไว้ดูพระอาทิตย์ขึ้น น้ำใส มีที่พักราคาเบาๆ มีหมู่บ้าน มีชาวบ้านอาศัยอยู่
2.เกาะมีขนาดไม่ใหญ่ ไม่มีมอไซด์ให้เช่า แต่มีแทกซี่ซาเล้งราคาเริ่มต้นที่ 50 บาทตลอดสาย สามารถให้โรงแรมเรียกให้ได้ แต่ส่วนใหญ่เราก็เดินเอาทั้งนั้น
CASTAWAY RESORT
วันแรกเราเลือกพักที่ Castaway resort เป็นรีสอร์ทสไตล์ Eco ที่ตั้งอยุ่ริมหาด sunrise ตกแต่งด้วยไม้เกือบทั้งหมด และบรรยากาศชิลอย่าบอกใคร ทั้งที่นั่งริมหาดก็จะครึกครื้นๆหน่อยเพราะมีเครื่องดื่ม happy hour ส่วนโซนบนชานไม้ข้างบน ไว้สั่งอาหารมาทานก็ดี หรืออยากนั่งปลีกวิเวกเอาหนังสือมาอ่านก็ยังได้
ติดต่อจองที่พัก : https://bit.ly/31qFZZz
LOCATION : https://g.page/castawayresortkohlipe?share
ความน่ารักของที่นี่คือมีคลาสโยคะ ทุกๆ 5 โมงเย็น หรือจะเช่าเรือคายัคพายไปเกาะใกล้ๆ หรือ Scuba diving ที่นี่มีให้หมด และมีนวดริมหาด ฟังเสียงคลื่นด้วย
อ่าาาห์
นี่แหละการติดเกาะ castaway แบบชิกๆคูลๆ
ส่วนตัวห้องพักนั้น อย่างที่บอกว่าเป็นรีสอร์ท Eco จึงเป็นรีสอร์ทที่อยากให้ทุกคนได้เสพย์ธรรมชาติ เสพย์ทะเลมากที่สุด เป็นห้องพัดลม 2 ชั้น โดยห้องนอนจะอยู่ชั้นบนไว้รับลมทะเลเย็นๆตอนนอน ชั้นล่างเป็นห้องน้ำ หน้าห้องมีเปล 2 อัน ชิลป๊ะหละ
สำหรับวันแรกที่มาถึง นี้ก็เลยสิงอยู่ที่นี่ทั้งวันเลย
Sunrise Beach
หาดซันไรส์ในตอนกลางวัน มาชมรอบๆหาดนี้กันซักหน่อย น้ำใสจนเหลี่ยมตาอยู่เด้อออ
ที่นี้จะมีที่พักริมหาดแบบบังกาโลบ้านๆ เยอะกว่าหาดพัทยา แต่อาหารและเครื่องดื่มก็ราคาไม่ได้ต่างกว่ากันเท่าไหร่
ส่วนที่เราชอบบนหาดนี้คือ มันมีหมู่บ้านชาวประมงตั้งอยู่ที่ปลายหาด ส่วนตัวแล้ว เราจะชอบเกาะที่มีคนอาศัยอยู่จริงๆ เราจะไม่ได้แค่มาดูน้ำทะเลใสๆ เราจะไม่แค่มาดำน้ำเสร็จแล้วก็กลับไป เราอยากเห็นเอกลักษณ์ความแตกต่างของแต่ละเกาะจากผู้คนที่อาศัยอยู่จริงๆ มันเป็นสเน่ห์ ที่ทำให้น้ำทะเลจากมหาสมุทรเดียวกัน ไม่เหมือนกัน
ที่นี่มีทั้งโรงเรียน วัด โรงพยาบาล สนามกีฬา ครบทุกปัจจัยที่สามารถทำให้ชีวิตยืนยงและมีความสุข ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นชาวประมงอยู่ แต่เป็นฤดูกาลไป นักท่องเที่ยวเยอะก็มาทำเรือทัวร์ วันไหนนักท่องเที่ยวน้อยก็มาหาปลา สบายๆ ชีวิตบนเกาะนี้ดูไม่อดอยากหรอก เค้าอยู่เป็น
ถึงเราจะรู้เกี่ยวกับคนที่อาศัยอยู่นี่ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร แต่พวกเขาก็ทำให้เราสนุกกับการถ่ายภาพพวกเขานะ
สำหรับหาดนี้ (Sunrise Beach) จุด Check point ของเราคือ Sea La Vie Beach bar หาดซันไรส์ ข้างๆ Castaway ที่พักเรานี่เอง สำหรับเรามาเที่ยวเกาะต้องเข้าบาร์ค่ะ ไม่งั้นจะเหมือนมาไม่ถึง 5555
DAY 2
เช้านี้ที่ Sunrise Beach
เราตื่นแต่เช้าออกมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หน้าหาด ปกติก็เป็นคนตื่นสายแหละ แต่คือพระอาทิตย์มันสาดแสงลอดผ่านหน้าต่างห้องมาไง ปลุกเราตื่นเลย ปลุกฉันขนาดนี้แล้ว ลุกก็ลุกวะ พี่พระอาทิตย์ (อัพสกิลเริ่มคุยกับพระอาทิตย์ พระจันทร์ ต้นไม้ หาดทรายได้แล้วค่า)
เอิ่ม
นี่ไม่น่าจะใช่การดูพระอาทิตย์ขึ้นนะ
เค้าเรียกว่าการดูพระอาทิตย์ที่สว่างแล้วต่างหาก – -“
SNORKELTRIP
เวลา 9 โมงเช้า ไกด์ณรงค์ขับมอไซด์มารับเราหน้าโรงแรม เพื่อไปขึ้นเรือไปทริปดำน้ำรอบเกาะ ซึ่งเรือจอดอยู่หาดพัทยา มีนักท่องเที่ยวคนอื่นอีก 4 คน รออยู่บนเรือเรียบร้อยแล้ว
เกาะหินงาม
จุดแรกของทริป ไกด์ณรงค์พาไปที่ “เกาะหินงาม” เป็นเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งที่มีชายหาดเป็นหินดำกลมมนทั้งหมด บางก้อนเป็นสีขาวกลมๆ สวยงามมากจริงๆ ถ้าไม่ได้ใส่รองเท้าตอนเดินก็จะร้อนๆเท้าหน่อย แต่คิดซะว่ามาสปาฝ่าเท้าละกัน ตอนนี้เค้ารณรงค์ไม้ให้เอาหินมาตั้งเรียงกันแล้วนะ เพราะหินตกจะแตก แล้วไปบาดเท้านักท่องเที่ยวค่ะ
บังเอิ้ญ บังเอิญ ที่เจอน้องที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันบนเกาะนี้ด้วย โลกกลมอะ อยู่กรุงเทพไม่เคยเจอ มาเจอบนเกาะเล็กๆเกาะนี้ มีเพื่อนถ่ายรูปซักที 555
ออกจากเกาะหินงามก็ไปดำน้ำกันต่อค่ะ สำหรับทริปนี้ เราจะดำกันทั้งหมด 3 จุด
ในส่วนของปะการังใต้น้ำนั้น สำหรับที่นี่ เราว่ามันยังโอเคมากเลยนะ ปะการังฟูฟ่องอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เราเจอปลาไหลมอเร่ด้วย หลบอยู่ในซอกหิน ปลาเยอะมากๆ
จุดที่สวยที่สุด ก็ยกให้ร่องน้ำจาบังแหละ น้ำแรงมาก จนต้องเกาะเชือกไว้ แต่ถ้าว่ายไหว ก็มุดลงไปดูใกล้ๆ จะอลังการมากกว่า มีปะการังอ่อน สีแดงสีชมพู สวยมากๆ ซึ่งปะการังอ่อนแดงๆนี้หาดูได้ยากจริง ถ้าไม่ได้ดำน้ำแบบสกูบ้า มีแค่ที่เกาะหลีเป๊ะนี่แหละที่สมบูรณ์ และลงไปดูได้ง่ายขนาดนี้
ขอแนะนำกันไว้สักนิด ว่าไม่ควรสัมผัสกะการังเด็ดขาด ไม่ว่าส่วนไหนก็ตาม นอกจากจะทำร้ายปะการังแล้ว ยังอาจโดนพิษของปะการัง หรือสัตว์ที่มันซ้อนตัวอยู่แบบเนียนไปกับหินก็ได้
อย่างปลาหินตัวนี้ (stonefish) ลงไปเรายังตกใจ รู้มั้ยว่ามันมีพิษร้ายแรงมากๆ หากใครไปโดนผิวตะปุ่มตะป่ำของมัน จะเจ็บปวดอย่างรุ่นแรง (นี่อ่านมา ยังไม่เคยโดน) ถ้ารับผิดมากจะเกิดอาการเพ้อ ไม่ได้สติ และอาจเสียชีวิตในที่สุด
ในภาพนี้ เห็นมั้ย เห็นปลาที่ซ่อนตัวเหมือนหินนั่นมั้ย
ทริปนี้ทางทัวร์จะจัดการให้ทุกอย่าง ทั้งอาหาร ผลไม้ น้ำเปล่า และคนพาดำน้ำไปดูนีโม่ นี่ไปคนเดียวก็ขอให้ไกด์ถ่ายรูปให้ได้ ในภาพคือแวะเกาะอาดัง เพื่อพักทานอาหารกลางวัน
กลังจากดำน้ำเสร็จ ก็ถึงเวลาเข้าที่พักที่ใหม่ ตามแพคเกตที่จองมากับ Sealection
Sita Beach Resort
สิตาบีชรีสอร์ทตั้งอยุ่ริมหาดพัทยาหาดที่ครึกครื้นกันมากๆ และอยู่ไม่ไกลจาก walking street เป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่มีร้านอาหารและสระว่ายน้ำถึง 2 สระ
จองห้องพักผ่าน AGODA : https://bit.ly/31sHHKa
ในส่วนของห้องพักเรา ถึงแม้ว่าไม่ได้อยู่ติดหน้าหาด ต้องนั่งรถกอล์ฟเข้ามาอีกไม่ไกลนัก แต่เราว่ามันคือการหนีความวุ่นวาย มาหาความสงบของจริง เพราะมันจะไม่ได้ยินเสียงเพลงดังๆริมหาดเลย ถือเป็นข้อดีของที่นี่เค้าหละ ตัวห้องพักก็ใหญ่มาก มีห้องน้ำที่เกือบจะใหญ่กว่าห้องนอนที่บ้านอีก เราชอบห้องพักที่ห้องน้ำใหญ่ๆนะ ตอนนอนแช่อ่างมันไม่อบอ้าวดี
Pattaya Beach
วันนี้มาสำรวจหาดพัทยากันสักหน่อยมั้ยหละ
แถวหน้าที่พักจะมีบาร์ขาประจำของเราหละ (ที่เพิ่งมาวันที่ 2 เป็นขาประจำแล้วเรอะ 555) คือ the Islander bar มันมีความเป็นบาร์ชาวเกาะที่เราอยากจะเจอ เพลงดี และตกแต่งสวย หน้าร้านเป็นแมงกระพรุน ที่ตอนกลางคืนจะเปิดไฟละเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน ร้านนี้มีหมาประจำบาร์ คือ “เจ้าเกาะไ เป็นหมาที่ว่ายน้ำได้ และชอบเล่นกับคนมาก เค้าว่ากันว่าเป็นหมาชื่อดังประจำหาดนี้เลย โยนอะไรไปก็คาบมาคืนหมด ตอนกลางวันมันเล่นในทะเล ตอนกลางคืนมันถึงกลับบาร์นี่แหละ เราถึงได้เล่นกับนาง
อาหารญี่ปุ่นก็มีเด้อออออ
ในหัวเราเนี่ย คิดว่าหาดนี้คือความครึกครื้นแบบไม่หลับไม่นอนกันเลย เหมือนที่ใช้ชื่อพัทยา แต่อันความจริงแล้วที่เราเจอ กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น ของกินเยอะ ของฝากเยอะ บาร์ก็เยอะ ตลอดเส้นทางของ walking street แต่ตอนกลางคืนเงียบสงบ ร้านค้าปิดเป็นเวลา บาร์ก็ปิดเป็นเวลาเหมือนกัน (อาจจะเพราะหน้า LOW อยู่ก็ได้ เรามาเดือนพฤษภาค่ะ)
อาจเป็นเพราะเกาะนี้ไม่ใช้เกาะปาร์ตี้(เท่าไหร่) ซึงเราว่ามันดีนะ คนที่มาส่วนใหญ่เค้าก็มา Honeymoon มาเป็นคู่ๆกัน ทั้งไทย ทั้งฝรั่ง เกาหลี จีน ส่วนค่าครองชีพก็ราคาประมาณเกาะพีพี ที่แพงกว่าบนเกาะเต่าสมุยพงัน
ถ้าถามวามาแบบ Backpacker คนเดียวได้มั้ย นอนโฮสเทลไรงี้ เราว่าได้มันก็ได้แหละ แต่รุ้สึกว่าโฮสเทลที่นี่ไม่ค่อยน่าอยู่ ไม่มีโฮสเทลดีไซน์ชิกๆคูลๆ แถมราคาก็แพงพอๆกับไปเปิดบังกาโลริมหาดนอน
แต่ก็ไม่ใช่ว่ามาคนเดียวแล้วจะมีเพื่อนใหม่ไม่ได้เนอะ
DAY3 FREE STYLE DAY
เช้าวันใหม่ ตื่นขึ้นมาด้วยความปวดเนื้อปวดตัว ผลจากการไปดำน้ำมาเมื่อวาน ไหนไหนก็จัดแพลนให้วันนี้เป็นวันชิล วันสบายอยู่แล้ว งั้นนอนต่อจ้าาา 555
ไม่ใช่โว้ยยย… ออกไปหาน้องทะเลสิจ๊ะ
เรานัดเพื่อนใหม่ที่เจอกันเมื่อวาน เป็นเพื่อนฝรั่ง 3 คน ว่าจะไปพายคายัคกันที่หาดซันไรส์ เลยโทรหาไกด์ณรงค์ให้มารับจากโรงแรมไปส่งหาดโน้นที ไกด์ก็ดูแลเต็มที่ เพราะนางก็วนเวียนอยู่แถวนี้อยู่แล้ว
ที่ sunrise มันจะมีอยู่ 2 เกาะเล็กๆ ที่ไม่ไกลจากฝั่งมากนัก ชาวบ้านแถวนั้นบอกว่า ตอนน้ำลงก็สามารถเดินจากหาดไปเกาะได้เลย แล้วความคิดจะพายเรือคายัคของเรากับเพื่อนก็เลยเปลี่ยนเป็น “พวกเราจะว่ายน้ำไปแทน”
อาจจะเป็นเรื่องที่คิดผิดรึปล่าวไม่แน่ใจ จะว่าเดินก็เดินได้ แต่ข้างใต้มันเป็นก้อนปะการังที่มีหอยเม่นทั้งนั้น ว่ายไปก็เสียวพุงไป กลับตัวก็ไม่ทันแล้วจ้าาา เดินไม่ได้แล้วจ้าาาา ต้องทำตัวขนานน้ำตลอดทาง เป็นการสน็อคเกิ้ลในระยะไกลสุดที่เคยเลย
พอโผล่หัวขึ้นมา เจอคนพายคายัค 2 คนกำลังมองว่า อี 4 คนนี้มันงมอะไรกันอยู่ 555
มาถึงเกาะน้อยซักที(ขอเรียกว่าเกาะน้อยนะ เพราะไม่รู้ชื่อจริงๆ) เกาะนี้จะมีโขดหินให้ปีนขึ้นไปชมวิว แต่ต้องระวังๆหน่อยนะ เพราะหินลื่นมาก จนบางทีก็คิดนะ ว่าผู้หญิงสวยๆอย่างเราจะ จำเป็นต้องลุยขนาดนี้มั้ยเนี่ยยย 555
จะลำบากยังไงก็ตามแต่ มาถึงแล้วก็ต้องปีนขึ้นไปให้ได้ ไม่งั้นจะถูกทิ้งไว้ข้างล่างคนเดียว ก็เลยต้องปีนขึ้นไป จากบนยอดนี้เราสามารถชมวิวได้เกือบ 360 องศา มองเห็นเกาะอาดัง เกาะตะรุเตา และหาดซันไรส์เกาะหลีปเป๊ะได้จากจุดนี้เลย
SANDBANK
ออกจากเกาะน้อย พวกเราว่ายกลับมาที่ฝั่ง เพื่อมาชมพระอาทิตย์ตก ที่สุดหาดซันไรส์กันต่อ ความพิเศษของจุดนี้คือเมื่อน้ำลง มันจะมีสันทรายโผล่ขึ้นมากลางทะเล ที่สามารถว่ายน้ำข้ามไปได้ (ว่ายน้ำอีกแล้ว 555)
และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยทีเดียว สวยจนคิดถึงแฟน ก็คนที่มานั่งดูส่วนใหญ่นี่เค้าก็สวีทกันซะเหลือเกิน ทั้งจูบทั้งนัว จนต้องหันไปบอกเพื่อนๆว่า “ไปหาไรกินกันดีกว่า 555 “
แล้วพระอาทิตย์ในวันสุดท้ายของทริปก็ตกลงไปอย่างสวยงาม
กลับบ้าน
ได้เวลากลับบ้านแล้ว เรือเราเป็นสปีดโบ้ทรอบบ่ายโมง มีไกด์มารับและพาขึ้นเรือยันท่าเรือปากบารา แล้วขึ้นรถตู้ต่อไปส่งถึงที่สถานีรถไฟเลยค่า ในส่วนนี้ก็อยู่ในแพคเกตของ Sealection นะคะ ยกเว้นค่าตั๋วรถไฟที่ต้องจองเอง
เราทำการจองตั๋วรถไฟหาดใหญ่-กรุงเทพ รอบ 6.45 โมงเย็นไว้ก่อนมา เป็นการกลับบ้านที่ยาวนาน กว่า 12 ชั่วโมง แต่ก็ได้นอนอิ่มดี ถึงกรุงเทพประมาณ 10 โมง สบายๆ รถไฟนอนแบบไหม่ ไฮโซกว่าเดิมเยอะ ไม่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะสว่าง ไมมีกลิ่นอัพ มีโคมไฟ มีที่ชาร์ตแบท แอร์ก็เย็น ห้องน้ำสะอาด น่าจะมีแบบนี้นานแล้วเนอะ
แล้วทริปเที่ยวเกาะหลีเป๊ะค
ไม่
ไม่
ไม่มาคนเดียวแน่นอน…ต้องม
.
ทริปนี้ต้องขอบคุณหลายคนเลย
ขอบคุณ Sealection ทัวร์ที่ดูแล จัดการ จองที่พัก จองเรือ จองทริปให้ทั้งหมด
ขอบคุณไกด์ณรงค์ แห่ง sealection อีกที ดูแลดี๊ดี ยังกับคนขับแทกซี่ส่วนตัว
ขอบคุณพี่โจ ที่จองตั๋วรถไฟให้น้อง ทั้งๆที่เพิ่งรุ้จักกัน
ขอบคุณเพื่อนทั้งสาม ที่ถ่ายรูปให้บ้าง ฮ่าๆ
ขอบคุณน้องๆโรงเรียนที่บังเอิญเจอ และมากินเบียร์เป็นเพื่อน
ขอบคุณตัวเอง ที่พาตัวเองมาได้ถึงเกาะที่เค้าว่าสวยที่สุด โดยไม่งอแงซักแอะ
.
แล้วเจอกันใหม่ทริปถัดไปจร้าา
ต้นอ้อ